ศาสตร์วิชากายภาพบำบัดในผู้ป่วยโรคต่าง ๆ ปัจจุบันยังคงได้รับความนิยมควบคู่ไปกับการทำการรักษาอื่น ๆ สำหรับการกายภาพบำบัดเส้นเลือดในสมองตีบ ก็เช่นกัน ทางนักกายภาพมีท่ากายภาพบำบัดเส้นเลือดในสมองตีบ ซึ่งจะใช้ให้ความรู้ในการดูแลฟื้นฟูผู้ป่วยแบบองค์รวมต่อไป บทความของเราจึงจะมาอธิบายถึงการป่วยเป็นโรค stroke กายภาพบำบัด มีขั้นตอนวิธีกายภาพบำบัดเส้นเลือดในสมองแตกอย่างไร แบบไหนจึงจะถือว่าเป็นท่าบริหารเส้นเลือดตีบที่ถูกต้อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง สามารถศึกษาข้อมูลต่อไปนี้ ก่อนการปฏิบัติและนำไปปรับใช้ในการดูแลผู้ป่วย stoke ระยะฟื้นฟูต่อไป
การกายบำบัดเส้นเลือดในสมองตีบสำคัญอย่างไร ทำไมต้องทำ?
กายภาพบำบัดในสมองตีบสำคัญ เนื่องจากการดูแลผู้ป่วย stoke ระยะฟื้นฟูส่วนหนึ่งพบว่าผู้ป่วยมีปัญหาตึงและเกร็ง ซึ่งอาการตึงเป็นผลกระทบมาจากอาการหลักของผู้ป่วยคือ อ่อนแรง เกร็ง โดยอาการเหล่านี้ส่งผลกระทบทำให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวร่างกายได้ลำบากและในกรณีที่ขยับร่างกายน้อยลง ก็จะส่งผลทำให้กล้ามเนื้อถูกหดรั้งเกร็งอยู่เพียงท่าเดิม ๆ ดังนั้นทางแพทย์จึงจำเป็นจะต้องใช้ท่ากายภาพบำบัดเส้นเลือดในสมองตีบ ผ่านการยืด เพื่อทำให้กล้ามเนื้อเกิดการคลายตัว จะช่วยบรรเทาอาการตึงและเกร็งในผู้ป่วยลงไปได้ เพราะส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะรู้สึกตึงบริเวณหน้าอก เนื่องจากกล้ามเนื้อหน้าอกเป็นแผ่นใหญ่ และกล้ามเนื้อสะบักตรงส่วนหลังที่มีการตึงค่อนข้างมาก
ท่ากายภาพบำบัดเส้นเลือดในสมองตีบ
วิธีซึ่งช่วยคลายอาการเกร็งและอาการตึงเบื้องต้น มีท่าต่อไปนี้
1. ท่านอน เพื่อยืดกล้ามเนื้อหน้าอก
เป็นท่าที่ทำได้ง่ายมากสุด โดยผู้ป่วยจะต้องอยู่ในท่านอนหงาย และชันเข่าขึ้นทั้ง 2 ข้าง กางแขนออกเท่าที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บ จากนั้นบิดเข่ารวมถึงช่วงเอวลงบนเตียง โดยจะต้องบิดไปฝั่งตรงกันข้ามกับแขนที่กางออก และขณะบิดให้พยายามกดไหล่ไว้ไม่ให้ไหล่ยก เมื่อผู้ป่วยจะรู้สึกตึงบริเวณหน้าอกจึงบิดกลับ ในช่วงแรกแค่บิดไปและกลับ แต่เมื่อรู้สึกกล้ามเนื้อคลายลงจึงค่อย ๆ บิดค้างไว้ให้นานมากขึ้นอาจนับ 1 – 3 และยกกลับ และหากต้องการบิดตัวได้มากขึ้นให้เอาขาที่ชันเข่าด้านหนึ่งลง แล้วจึงบิดตัวจะทำให้บิดได้มากขึ้น หน้าอกตึงมากขึ้น โดยการใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้กางแขนกดเข่าด้านที่บิดลงไปเอาไว้ โดยเริ่มจากการไม่ต้องทำค้าง กระทั่งรู้สึกตึงน้อยลงแล้วจึงค่อยค้างเอาไว้ จากนั้นจึงอาจขยับแขนให้สูงขึ้นก็จะยืดได้มากขึ้น
2. ท่านอน เพื่อยืดกล้ามเนื้อสะบักด้านหลัง
เป็นท่านอนซึ่งจะกางแขนด้านหนึ่งออก แล้วใช้แขนอีกด้านที่มีแรงเอื้อมเพื่อไปแตะฝั่งที่ไม่มีแรงและกางออก โดยการเอื้อมจะต้องไม่ขยับลำตัวไปด้วยจะต้องกดตัวเอาไว้กับที่ เคลื่อนไหวเพียงลำตัว เพื่อยืดกล้ามเนื้อสะบักหลัง เมื่อยกไปแล้วให้ยกกลับมา โดยยกไปกลับยังไม่ต้องค้าง กระทั่งรู้สึกว่าตึงน้อยลงแล้วจึงยกลงไปค้างเอื้อมไว้ให้นานมากขึ้น ท่านี้จังหวะที่เอื้อมค้างสะบักข้างหนึ่งถูกยึดตรึงเอาไว้ให้อยู่นิ่ง จึงเสมือนทำให้สะบักยืดโดยอัตโนมัติ และได้ยืดกล้ามเนื้อแขนด้านที่ไม่มีแรงไปในตัว
3. ท่านอนตะแคง
ท่านี้เมื่อผู้ป่วยนอนทับตะแคงด้านที่อ่อนแรง ให้ผู้ป่วยนอนงอเข่างอสะโพก โดยจัดท่านอนให้ลำตัวตรง งอแขนปล่อยสบาย ๆ จากนั้นให้ขยับไหล่ข้างที่ไม่มีแรงหรือด้านไม่มีแรง โดยโน้มตัวไปด้านหน้า สลับกับการแบะไหล่มาข้างหลังให้รู้สึกว่าไหล่แบะออก แล้วจึงโยกสลับไปกลับ และในกรณีที่ผู้ป่วยสามารถขยับเคลื่อนไหวแขนได้ อาจจะให้ผู้ป่วยใช้การดึงศอกและแบะไหล่ออกจะรู้สึกตึงมากขึ้น ข้อควรระวังของผู้ป่วยโรค stroke กายภาพบำบัดท่านี้ไหล่ของเขาอาจจะยกตาม ซึ่งอาจจะทำให้รู้สึกเจ็บได้ ดังนั้นการดูแลผู้ป่วย stoke ระยะฟื้นฟูจึงจำเป็นจะต้องทำกายภาพด้วยความระมัดระวังในการเคลื่อนไหว อย่าทำให้ไหล่ยก
นอกจากนี้อาจเพิ่มเติมโดยใช้การดัด ขยับข้อต่อ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวให้กลับมาใกล้เคียงปกติ โดยเน้นการออกกำลังกายเพิ่มกล้ามเนื้อ ฝึกการเคลื่อนไหวในการทำกิจวัตร ตลอดจนฝึกการทรงตัว ฝึกการเดิน โดยขั้นตอนการทำกายภาพสามารถทำได้หลังผู้ป่วยมีอาการคงที โดยช่วงที่สำคัญที่สุดคือระยะ 3 – 6 เดือนแรก เพราะว่าร่างกายฟื้นฟูได้ไวมากที่สุด
เรามีวิธีป้องกันโรคเส้นเลือดในสมองตีบอย่างไรได้บ้าง
1. หลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัด
เนื่องจากอาหารเค็มจัดมีส่วนประกอบของเกลือ โซเดียม ที่มีความเค็มสูง เช่น อาหารแปรรูป ของหมักดอง เนื้อตากแห้ง อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เมื่อทานเข้าไปจะส่งผลทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยความดันโลหิตสูงเป็นหนึ่งในปัจจัยส่งเสริมทำให้เกิดเส้นเลือดสมองตีบ แตก ตันได้ ดังนั้นการทานอาหารควรเติมเกลือ น้ำปลาให้น้อยลง รับประทานอาหารรสจืดให้มากขึ้นจึงจะทำให้ความดันโลหิตลดลงป้องกันโรคเส้นเลือดในสมองตีบ
2. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง
อาหารจำพวกของทอด ของมัน เนื้อสัตว์ติดมัน ขาหมู รวมถึงอาหารที่มีไขมันทรานส์ เนยเทียม ครีมเทียม หากทานเป็นเวลานานมันจะสะสมในเส้นเลือด ทำให้คอเลสเตอรอลสูงขึ้น เส้นเลือดตีบลงเรื่อย ๆ จนเกิดโรคได้
3. เลิกสูบบุหรี่ ดื่มสุรา
เพราะมีงานวิจัยพบว่าการสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นระยะเวลานาน ๆ จะส่งผลทำให้เส้นเลือดในสมองตีบหรือแตกได้
4. ออกกำกายอย่างสม่ำเสมอ
เนื่องจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยลดความดัน ลดไขมัน ลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ แนะนำว่าในการออกกำลังกาย 5 วันต่อสัปดาห์ โดยใน 1 วันควรออกแค่เพียง 30 นาที จะช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ ได้
5. ลดน้ำหนัก
สำหรับบุคคลที่มีน้ำหนักเกิน อ้วนลงพุง มี BMI เกิน 25 จำเป็นจะต้องลดน้ำหนัก เพราะภาวะอ้วนเป็นปัจจัยส่งเสริมทำให้เกิดเส้นเลือดในสมองตีบ แตก ตันได้
6. พักผ่อนให้เพียงพอ
ภายใน 1 วัน ควรจะนอนหลับให้เพียงพอ 6 – 8 ชั่วโมง ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เส้นเลือดในสมองตีบหรือแตกได้ เพราะการนอนไม่หลับ พักผ่อนไม่เพียงพอจะส่งผลทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
7. ตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี
แนะนำว่าคนที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ยิ่งต้องตรวจสุขภาพประจำปี อย่างสม่ำเสมอ เพราะโรคบาง เช่น ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง บางครั้งโรคเหล่านี้ไม่แสดงอาการ ดังนั้นการที่เราไม่ได้รักษาหรือป้องกันโรคเหล่านี้จะเป็นปัจจัยให้เส้นเลือดในสมองตีบหรือแตกได้ จึงต้องตรวจสุขภาพประจำปี
Becos ช่วยดูแลผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองตีบที่บ้าน
แนะนำว่าหากคุณเป็นห่วงผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่บ้านว่าเขาจะไม่สามารถดูแลตัวเอง ทำกิจวัตรต่าง ๆ ตลอดจนทำกายภาพด้วยตัวเองอย่างถูกต้องได้ในช่วงเวลาที่คุณอาจจำเป็นจะต้องออกไปทำงาน ทำธุระต่าง ๆ นอกบ้าน เลือกเรา Becos เราช่วยคุณดูแลผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองได้อย่างเป็นมืออาชีพ ให้คุณวางใจได้อย่างหายห่วงเสมือนมีผู้ช่วยส่วนตัวที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาช่วยดูแลคนสำคัญของคุณเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน เพราะงานของเราคือการดูแลผู้ป่วยให้กลับมาใช้ชีวิตให้ใกล้เคียงปกติได้มากที่สุด!
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
การทำภาพบำบัดต้องทำบ่อยแค่ไหน
การกายภาพบำบัดเส้นเลือดในสมองตีบสามารถทำบ่อยได้ เช้า สาย บ่าย เย็น และทำได้ตลอดเวลาจนกระทั่งรู้สึกว่ากล้ามเนื้อผ่อนคลาย โดยควรเน้นด้านที่มีอาการตึงมาก แต่การทำกายภาพหากทำได้ทั้งสองฝั่งของร่างกายก็จะช่วยปรับสมดุลร่างกายให้เท่ากัน จึงทำได้ทั้งสองข้าง แต่ถ้าเป็นกรณีที่ผู้ป่วยพักอยู่คนเดียวอาจทำกายภาพเท่าที่ตนเองจะทำได้ไหวอ